วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Lumière sur…




La faune australienne est constituée d’une très grande diversité d’animaux. Quelque 83 % des mammifères, 89 % des reptiles, 90 % des poissons et des insectes et 93 % des amphibiens qui habitent cette masse continentale sont endémiques.
La relative rareté des mammifères placentaires explique que les marsupiaux, un groupe de mammifères dont les petits sont portés dans un marsupium et qui inclut les kangourous, les possums et les Dasyuromorphia, occupent plusieurs niches écologiques qui, dans d’autres parties du monde, sont occupées par les animaux placentaires. L’Australie est le foyer de deux des cinq espèces existantes connues de monotrèmes. Elle compte de nombreuses espèces venimeuses, dont les ornithorynques, certaines araignées, les scorpions, les pieuvres, les scyphozoaires, certains mollusques, les poissons-pierres et les raies.
La colonisation humaine de l’Australie, débutée il y a plus de 40 000 ans, a considérablement affecté la faune, avec notamment la disparition de la perruche de paradis, du bandicoot à pieds de cochon et du Potorous platyops. Afin de faire face aux menaces qui pèsent sur la faune, les autorités australiennes ont adopté des lois pour l’établissement de zones protégées.

Mammifères marins




Les eaux du littoral australien abritent quarante-six espèces de mammifères marins, de l'ordre des cétacés. Toutefois, ces espèces étant présentes dans d'autres régions du monde, certains auteurs ne les considèrent pas comme des espèces australiennes. On trouve neuf espèces de mysticètes dont l'énorme baleine à bosse. Les odontocètes (ou cétacés à dents) y sont représentés par 37 espèces, dont les six genres de la famille des ziphiidae (baleines à bec) et 26 espèces de delphinidae (dauphins océaniques), avec parmi celles-ci le dauphin à aileron retroussé d'Australie, espèce décrite pour la première fois en 2005. Certains delphinidae, comme l'orque, sont présents tout autour du continent, tandis que d'autres, comme le dauphin Irrawaddy, vivent exclusivement dans les eaux plus chaudes du nord. Le dugong (de l'ordre des sirenia) est une espèce marine menacée qui vit dans les eaux du Nord-Est et du Nord-Ouest de l'Australie, plus particulièrement dans le détroit de Torres. Il peut mesurer jusqu'à trois mètres et peser jusqu'à 400 kilogrammes. Le dugong est le seul mammifère marin herbivore d'Australie. Il se nourrit de plantes aquatiques situées au large des côtes. Cette espèce est menacée notamment par la destruction des fonds marins sur lesquels poussent ces plantes.
Enfin, dix espèces de phoques et de lions de mer (famille des carnivora) vivent au large de la côte sud de l'Australie et dans les territoires australiens de l'Antarctique.

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

โฮมเมดครัวซองต์ (classic croissants)

เรื่องราวของครัวซองต์มีตำนานหลากหลาย
แต่มีเนื้อความคล้าย ๆ กันค่ะบ้างก็ว่า
เกิดในกรุงเวียนนา (ออสเตรีย) ในปีคศ 1683
หรือ กรุงบูดาเปสต์ (ฮังการี) ในปีคศ 1686
แต่น้ำหนักจะไปทางเวียนนาซะมาก
เรื่องมีอยู่ว่ามีกลางดึกคืนหนึ่ง
มีช่างอบขนมปังคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ห้องใต้ดิน
แล้วก็ได้ยินเสียงตุ้บ ๆ จากหลังกำแพง
เหมือนเสียงคนขุดอุโมงค์
ซึ่งคาดว่าเป็นพวกทหารเติร์กที่จะบุกมาเข้าโจมตียึดเมือง
ช่างทำขนมปังจึงได้ไปรายงานทางการทันที
และได้ช่วยกันเผาอุโมงค์ที่ทหารเติร์กช่วยกันขุด
จึงทำให้เมืองของตนรอดพ้นจากการถูกยึดได้
ช่างขนมปังไม่ได้ขอรางวัลอะไร
นอกจากขอทำขนมเเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว (Crescent)
ซึ่งเป็นเครื่องหมายอยู่บนธงอ็อตโตมัน (ของพวกเติร์ก)
ครัวซองต์ก็เลยเกิดขึ้นมาแต่ต่อมา
ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี คศ1875
ได้รวบรวมครัวซองต์มาเป็นขนมที่กินกับกาแฟ
(มีขนมอื่น ๆ เช่นมัฟฟินด้วย)
และได้เขียนสูตรเป็นเรื่องเป็นราวในปีคศ 1905
ซึ่งไม่มีใครเคยพบสูตรครัวซองต์ในที่ใด ๆ ในโลกนี้มาก่อน
สรุปว่าประเทศฝรั่งเศสได้นำครัวซองต์
มาทำให้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งค่ะ
โดยได้นำเข้ามาจากเวียนนาอีกที
ครัวซองต์มีขั้นตอนการทำเหมือนพายชั้น
แต่ไม่ต้องนำแป้งแช่แข็งก่อนอบ
การทำครัวซองต์จะนิยมใส่ยีสต์ในแป้ง



ทำให้ครัวซองต์มีโพรงอากาศพองโต
และเนื้อข้างในนิ่มไม่กรอบร่วนเหมือนพายชั้นค่ะ



สูตรครัวซองต์
แอ็คทีฟดรายยีสต์ 2 ช้อนโต๊ะ
แ้ป้งอเนกประสงค์ 3 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 1/4 ถ้วย
เกลือ 2 ช้อน
ชานม 1 ถ้วย กับอีกนิดหน่อย (2-4 ช้อนโต๊ะ
เนยจืด 2 ถ้วย
แป้งนวล (สำหรับโรยโต๊ะเวลานวด)
ไข่ 1 ฟอง
นม 1 ช้อนโต๊ะ
อุปกรณ์จำเป็น
ไม้นวดแป้ง
แปรงสำหรับปัดเศษแป้งและทาไข่
พื้นโต๊ะเรียบ ๆ (หินอ่อน ไม้ สเตนเลส หรืออะไรก็ได้ทีเรียบ)
มีดคม ๆ
แอ็คทีฟดรายยีสต์ แ้ป้งอเนกประสงค์ น้ำตาล เกลือและนม
ผสมรวม
กันนวดด้วยหัวตีตะขอ
หรือจะใช้มือนวดก็ได้ค่ะ
ถ้าแป้งแห้งไป ค่อย ๆ เติมนมเพิ่ม
ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ



นวดจนส่วนผสมยืดหยุ่นดี
ประมาณ 7 ถึง 8 นาที
ถ้านวดมือก็ประมาณ 15 นาที



นำแป้งออกจากอ่างผสมวางลงพื้นโต๊ะที่โรยแป้งไว้แล้ว
คลุมด้วยผ้าชื้น พัำำกไว้ 15 นาที
แม่บ้านยุคใหม่ใช้พลาสติคคลุมแทนค่ะ



จากนั้นใช้ไม้คลึงแป้งให้ได้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 10 x 9 นิ้ว
หนาประมาณ 5/8 นิ้ว



คลุมด้วยผ้าหรือห่อด้วยพลาสติค
นำแช่ตู้เย็น 1 ชม หรือ 1 คืน

ระหว่างคอย นำเนยมาทำเป็นบล็อคสี่เหลี่ยม
ขนาด 6 นิ้วคูณ 8 1/2 นิ้ว
ใช้ไม้นวดแป้งทุบเลย



จะใช้กระดาษไขพับให้ได้ขนาด
หรือถุงพลาสติคก็ได้ค่ะ
ทั้งทุบทั้งคลึงจนเรียบเป็นบล็อค
เสร็จแล้วแช่เย็นไว้



นำแป้งออกจากตู้เย็น
คลึงแป้งให้ได้ขนาด 10 นิ้วคูณ 15 นิ้ว หนา ¼ นิ้ว
คอยโรยแป้งนวลไม่ให้แป้งติดโต๊ะ
และคอยใช้แปรงปัดแป้งนวลส่วนเกินออก


หันแป้งด้านสั้นเข้าหาตัวเรา
วางเนยตรงกลาง



พับแป้งส่วนล่างขึ้นปิดเนย
คอยปัดแป้งส่วนเกินออก
พับแป้งส่วนบนลงมาปิดเนย
กดรอยพับให้สนิท
กันไม่ให้เนยทะลักได้



คลึงแป้งให้ได้ขนาด 10 นิ้วคูณ 15 นิ้ว หนา ¼ นิ้ว
ถ้าเนยปลิ้นปริ๊ดออกมา แก้ไขด้วยการโรยแป้งนวลที่รู
แล้วคอยปัดแป้งส่วนเกินออก



เรียบร้อยแล้ว

พับแป้งเป็นสามทบ

คลึงแป้งให้ได้ขนาด 10 นิ้วคูณ 15 นิ้ว หนา ¼ นิ้วอีกครั้ง




พับแป้งเป็นสามทบ
เท่ากับเป็นการพับนวดพับครั้งที่หนึ่ง
คลุมด้วยพลาสติค แช่เย็น 1 ชม หรือ 1 คืน
ก่อนการนวดพับครั้งต่อไป
กันลืมและสับสน
นวดพับแต่ละครั้ง ทำเครื่องหมายโดยใช้นิ้วจิ้มบนแป้ง
ตามจำนวนครั้งที่ทำไปแล้ว
จะได้ไม่ลืมว่าทำไปกี่ครั้งแล้ว
เพราะขั้นตอนมั้นซ้ำกัน
และพักแป้งในตู้เย็นก็นาน
เดี๋ยวจะงงค่ะ
(สังเกตที่มุมขวาล่างของแป้งในวงกลมนะคะ
จิ้มไว้ 2 ครั้งแล้ว)



ทำซ้ำแบบนี้อีก
ให้ได้การนวดพับอย่างน้อย 3 ครั้ง
นวดพับจนครบ (หรือเกิน) 3 ครั้ง
และแช่เย็นครบ 1 ชม หรือ 1 คืน
นำแป้งออกมานวดคลึงเตรียมขึ้นรูปได้เลย
เย่ เย่ จะได้หม่ำซักที



นวดคลึงแป้งให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขนาด 13 นิ้ว คูณ 24 นิ้ว
ให้บางกว่า ¼ นิ้ว
(ในภาพด้านบนได้ตัดแป้งเป็น 2 ส่วน
เนื่องจากใช้กระดานนวด
ซึ่งมีพื้นที่ไม่พอค่ะ
จึงทำทีละครึ่งส่วน
ได้ขนาดประมาณ 7 นิ้วกว่า ๆ คูณ 12 นิ้ว)



ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมยาว ประมาณ 7 นิ้ว ฐานกว้าง 4 นิ้ว



ขึ้นรูปครัวซองต์
ตัดแป้งที่ฐานประมาน 1 ซม.
แล้วค่อย ๆ ม้วนแป้งขึ้นจากฐาน
ตามรูป
พยายามให้ปลายสองด้านโค้งเข้าหากัน
(ในรูปไม่โค้ง พอดีตอนทำลืมโค้งน่ะค่ะ)



วางเรียงใส่ถาด
ปรู๊ฟให้แป้งขึ้น ประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง

รอให้แป้งขึ้นเป็นสองเท่า
ใช้แปรงทาด้วยไข่ผสมนม



อบด้วยไฟ 400 ฟาเรนไฮต์
ประมาณ 20 นาที
หรือจนขนมสุกน้ำตาลทอง



ลองหักขาครัวซองต์ชิมดู
อร่อยนุ่มชุ่มเนยมากค่ะ



อันนี้ลองใส่ช็อคโกแล็ตชิพไปด้วย



แต่จริง ๆ แล้วซื้อเค้ากินดีกว่าง่ะ
เสียเวลาทำตั้งนาน
ได้ครัวซองแค่ 10 ต้ว
แต่ถ้าคลึงแป้งเป็นแผ่นใหญ่ทีเดียว
เวลาตัดคงจะได้เพิ่มอีก 2 ถึง 3 ตัวค่ะ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ความรู้ทั่วไป


  1. ความรู้ทั่วไป
    จำนวนประชากร : 58.3 ล้านคน ( 01 มกราคม 2539) เป็นอันดับที่ 17 ของโลกความหนาแน่นของประชากร : 105 คน ต่อตารางกิโลเมตร
    พื้นที่ : มีพื้นที่ 551,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในยุโรป หรือหนึ่งในสี่ของพื้นที่ในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หากมองดูจากแผนที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหมือนรูปหกเหลี่ยม ดังนั้นบางครั้งคนฝรั่งเศสจึงเรียกประเทศของตนว่า L'hexagone ซึ่งแปลว่ารูปหกเหลี่ยม
    การปกครอง : การปกครองแบบรัฐธรรมนูญปี 1958 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี 1962 มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ (คนปัจจุบัน President Jacques Chirac) เข้าดำรงตำแหน่งโดยการเลือกตั้ง ซึ่งมีขึ้นทุกๆ 7 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก (สส) ที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมทุกๆ 9 ปี และ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเลือกตั้งทุกๆ 3 ปี
    เพลงชาติ ลา มาร์แซยแยสา (La Marseillaise) แต่งโดย รูเชต์ เดอ ลิลล์ (Rouget De Lisle) โดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมืองสตราสบูร์กเมื่อปี 1792 เดิมมีชื่อว่า าเพลงรบกองทัพแห่งไรน์า (Chant de Guerre pour I'Armee du Rhine) ซึ่งมีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้ติดปากชาวฝรั่งเศส และเปลี่ยนมาเป็นเพลงประจำชาติในชื่อของ าลา มาร์แซยแยสา เมื่อปี 1795
    ธงชาติ ธงไตรรงค์ หรือ Tricolore เป็นธงต้นฉบับของธงชาติที่หลายประเทศนำมาใช้ ซึ่งประกอบด้วย 3 สี คือ แดง น้ำเงิน ขาว เดิมทีธงลาฟาแยต (La Fayette) ซึ่งในขณะนั้นมี 2 สี คือ แดง และ น้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของกองทหารรักษาพระนครในกรุงปารีสได้ก่อการปฏิวัติ ต่อมาในปี 1789 (พ.ศ. 2332) มีการเพิ่มสีขาวอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในพระราชวงศ์บูร์บองส์เข้าไป และได้นำมาใช้เป็นธงชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้
    ภูมิอากาศ มี 3 ประเภท คือแบบภาคพื้นสมุทร แบบภูเขา และแบบเมดิเตอร์เรเนียน ในส่วนของนครปารีส นั้น มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปี 12 องศาเซลเซียส แต่เอาแน่อะไรกับภูมิอากาศปารีสไม่ค่อยได้ ฝนตกได้ทุกฤดูกาล และบางทีอุณหภูมิหน้าหนาวลดลงกว่า 3 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าถ้าจะไปปารีส ก็ต้องเตรียมตัวรับหลายสถานการณ์ ทางใต้ของฝรั่งเศส มีอากาศอบอุ่นที่สุดเป็นเขตที่มีลมชื่อ มิสทรัล (Mistral) พัดผ่านในราวฤดูใบไม้ผลิ
    เงินตรา และธนาคารหน่วยเงินของฝรั่งเศส : คือฟรังค์ (FF) 1 ฟรังค์มีค่าเท่ากับ 100 ซองตีม (เซนต์) ซึ่งมีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 7 บาท (เดือน มิถุนายน 2541) ธนบัตรฝรั่งเศสมีมูลค่า 500,200,100,50 และ 20 ฟรังค์ เงินเหรียญของฝรั่งเศสมีมูลค่า 50,20,10 และ 5 ซองตีม เหรียญ 50 ซอง จะออกมาในลักษณะ ฟรังค์
    ธนาคารบางแห่งในฝรั่งเศสอาจจะไม่รับแลกเงิน ดังนั้นนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะแลกเงิน สามารถแลกได้จากธนาคารที่มีคำว่า Exchange เขียนบอกไว้ หรือจากที่ทำการไปรษณีย์ที่มีเคาน์เตอร์สำหรับแลกเงิน เวลาทำการของธนาคารบางแห่งอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องที่ เช่นธนาคารที่อยู่ในเมืองทางเมืองทางตอนเหนือของฝรั่งเศสจะเปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.30-16.30 หรือ 17.15 น. บางแห่งอาจจะหยุดพักเที่ยงด้วย ธนาคารที่อยู่ในเมืองทางใต้ส่วนใหญ่จะเปิดวันอังคาร-เสาร์ เวลา 8.00-12.00 น. และ 13.30-16.30 น. และเคาน์เตอร์สำหรับแลกเงินของธนาคารมักจะปิดทำการเร็วกว่าเวลาปิดบริการของธนาคารครึ่งชั่วโมง หากพกเงินเป็นจำนวนมาก ขอแนะนำให้ใช้เช็คเดินทางจะปลอดภัยกว่า ในกรณีของบัตรเครดิตเป็นที่ยอมรับทั่วไปในประเทศ ได้แก่ วีซ่าการ์ด นิยมมากที่สุด ตามด้วยมาสเตอร์การ์ด ไดเนอร์คลับ และบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ตามลำดับ
    การทิป : ตามกฏหมายฝรั่งเศส ร้านอาหารหรือภัตตาคาร สามารถคิดค่าเซอร์วิสชาร์จได้ ประมาณ 10-15% ของราคาอาหาร ดังนั้นการทิปอาจจะไม่จำเป็นเท่าไรนัก แต่คนส่วนมากมักจะทิ้งเศษเหรียญ หรือเงินสัก 2-3 ฟรังค์ ไม่ว่าจะกินกันในจำนวนเงินแค่ไหนก็ตาม หรือถ้าเราพอใจการบริการของเขา ก็อาจจะทิปให้มาก ถ้าไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน ควรจะทิ้งเงินทิปไว้สัก 1 ฟรังค์ แต่ถ้าบริการไม่ดีก็ไม่จำเป็นต้องทิปก็ได้ ทั้งนี้ในส่วนของเท็กซี่ และโรงภาพยนต์ ปกติจะทิปประมาณ 2-3 ฟรังค์
    โทรศัพท์ โทรศัพท์สาธารณะในฝรั่งเศสมีทั้งแบบใช้บัตรและแบบหยอดเหรียญ ถ้าเป็นในเมืองใหญ่ๆ มักจะเป็นแบบใช้บัตร บัตรโทรศัพท์มี 2 มูลค่า คือ 40 ฟรังค์ มี 50หน่วย และ 96 ฟรังค์ มี 120 หน่วย หากจะโทรศัพท์กลับมาเมืองไทยขอแนะนำให้ใช้บัตรโทรศัพท์จะสะดวกกว่าแบบหยอดเหรียญ หาซื้อบัตรโทรศัพท์ได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ แผงขายหนังสือที่มีอยู่ทั่วไป หรือตามสถานีรถไฟ และร้านขายของที่มีเขียนป้ายติดว่าจำหน่ายบัตรโทรศัพท์ หรือ าTelecarteา หากจะโทรศัพท์มาประเทศไทยด้วยโทรศัพท์สาธารณะจะต้องหมุน 19+66+รหัสเมือง+หมายเลขที่ต้องการ
    หากอยู่ที่เมืองอื่นๆในฝรั่งเศส นอกเหนือจากเมืองปารีสและต้องการจะโทรศัพท์มายังปารีส หมุนหมายเลข16+1+หมายเลขที่ต้องการ
    ถ้าอยู่ในปารีสและต้องการโทรศัพท์ไปยังเมืองอื่นๆ ให้หมุนหมายเลข 16+หมายเลขที่ต้องการ
    หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้ 13-โอเปอร์เรเตอร์ 1614-โอเปอร์เรเตอร์สำหรับระหว่างประเทศ
    ไฟฟ้า กระแสไฟที่ฝรั่งเศสใช้คือ 220 โวลท์ เป็นปลั๊กชนิด 2 ตา บางพื้นที่เป็นปลั๊กชนิด 3 ขา
    น้ำประปา น้ำประปาในฝรั่งเศสสะอาดสามารถดื่มได้จากก๊อก น้ำจากก๊อกที่ไม่สะอาดพอจะมีป้ายบอกไว้เสมอว่า าไม่สามารถดื่มได้า หรือ eau non potable
    เวลา เวลาของฝรั่งเศสจะช้ากว่าที่เมืองไทย 6 ชั่วโมง เวลาทำงานและประกอบกิจการ สำนักงานส่วนใหญ่จะเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และบางแห่งวันจันทร์ ชั่วโมงทำการคือ 9.00 หรือ 10.00 น.-18.30 หรือ 19.00 น. หยุดพักเที่ยงตั้งแต่ 12.00 หรือ 13.00 น.-14.00 หรือ 15.00 น. ร้านค้าทั่วไปจะเปิดร้านประมาณ 9.00-18.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ และมักพักตอนเที่ยง มีร้านค้าจำนวนมากที่จะปิดในช่วงวันจันทร์ และแทบทุกร้านจะไม่เปิดขายสินค้าในวันอาทิตย์โดยเฉพาะช่วงบ่ายเลย ร้านขนมปัง มักจะเปิดกันตั้งแต่ 7.00 น. และหยุดพักตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะเปิดอีกครั้งจนถึงเวลาประมาณ 19.00 น. หรือเกินกว่านั้น ส่วนร้านที่ไม่หยุดพักในตอนเที่ยง ได้แก่ซูเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า
    ช้อปปิ้งน้ำหอม นักท่องเที่ยวทั่วไปนิยมซื้อน้ำหอมยี่ห้อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับ ซึ่งราคาจะถูกกว่าที่นำมาขายในต่างประเทศมาก เมืองที่มีชื่อเสียงในการผลิตหัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ได้แก่เมืองนีส คานส์ ริเวียร่า เป็นต้น ยี่ห้อน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าตำรับได้แก่ Christian Dior และน้ำหอมของ Caron, Givenchy, Rochas, Guerlain, Paco Rabanne เป็นต้น
    เสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น ฝรั่งเศสมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะศูนย์รวมของดีไซเนอร์ชื่อดัง และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลก
    เครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ฝรั่งเศสมีชื่อด้านนี้อย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเป็นแหล่งผลิตของไวน์ และแชมเปญที่สำคัญที่สุดของโลกในปัจจุบันไวน์ (Vin) หรือเหล้าองุ่นเริ่มผลิตขึ้นในฝรั้งเศสเป็นครั้งแรกตั้งแต่ยุคโรมัน โดยกองทัพโรมันที่เข้าปราบปรามอนารยชนได้นำวิธีการทำเหล้าองุ่นมาเผยแพร่และได้สืบทอดการทำไร่องุ่น และเหล้าไวน์มาจนปัจจุบัน ในหมู่นักดื่มไวน์นั้น ถือว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่ดีทีสุดในโลก แหล่งผลิตไวน์ที่ขึ้นชื่อไดแก่ บอร์โดซ์ (Bordeux) เบอร์กันดี ชองปาญ อัลซาส ลัวร์ โรน โพรวองซ์ จูราและซาวอย และทางตอนใต้สุดของประเทศ
    ไวน์แบ่งออกเป็น 3 สี คือ ไวน์ขาว (Blanc) ไวน์แดง (Rouge) และไวน์สีชมพู (Rose) โดยทั่วไปจะนิยมไวน์ขาว และไวน์แดง แต่ไวน์สีชมพูจะไม่เป็นที่นิยมและมักถือว่าเป็นไวน์ที่ดื่มเล่นๆเสียมากกว่า
    รสชาติของไวน์นั้นจะแบ่งออกเป็น But = ธรรมดา, Sec = หวานเล็กน้อย, Demi-sec = หวาน, Doux = หวานมาก
    คุณภาพของไวน์ที่ผลิตในฝรั่งเศสนั้นรัฐจะควบคุมให้ได้มาตรฐาน โดยแบ่งออกเป็น 4 ลำดับขั้น คือ1) Appellation d'Origine Controlee (AOC) เป็นไวน์ที่แจ้งรายละเอียดการผลิต ที่ผลิต การบรรจุขวด การบ่มไวน์อย่างละเอียดบนป้ายฉลาดขวด เป็นไวน์คุณภาพสูง และสามารถมีราคาสูงได้เป็นพันเป็นหมื่นบาทขึ้นอยู่กับปีที่ผลิตเป็นสำคัญ2) Vins Delimite de Qualite Superieure (VDQS) เป็นไวน์คุณภาพสูง เช่นเดียวกับไวน์ที่มี AOC ต่างกันตรงเป็นไวน์ที่ผลิตจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งสถานที่นั้นๆได้รับการรับรองว่าผลิตไวน์ได้คุณภาพ เช่นไวน์จากบอร์โดซ์ ซึ่งจะบรรจุขวดรูปทรงไม่เหมือนกับไวน์ที่อื่นๆ ไวน์แบบนี้มีราคาสูงเช่นกัน3) Vin de Pays หรือไวน์ท้องถิ่น ราคาไม่ค่อยแพง คุณภาพปานกลางมักเสิร์ฟตามร้านอาหารทั่วไป4) Vin De Table หรือไวน์ธรรมดาๆ คุณภาพปานกลาง มักเสิร์ฟตามร้านอาหารแบบชาวบ้านโดยใส่มาเป็นเหยือก (carafe)องุ่นต่างพันธุ์จะให้รสชาติของไวน์ที่ต่างกันไป ชื่อพันธุ์องุ่นจะถูกบ่งบอกไว้ที่ขวดด้วย พันธุ์องุ่นที่กล่าวกันว่าดี ให้ไวน์รสกลมกล่อม นุ่มละมุนเป็นที่นิยมกันก็ คือpinot noir, pinot gris, pinot blanc, muscat, riesling, cabernet sauvignon, cabernet franc, merlot, petit verdot, malbec, muscadet, sauvignon, chenin blanc, gamay
    นอกจากนี้ยังมีประเภท เครื่องสำอาง, กระเป๋าและเครื่องหนัง, ผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสอาหารการกินในสมัยก่อนคนฝรั่งเศสสามัญชนโดยเฉพาะในชนบท จะถืออาหารกลางวันเป็นอาหารหลัก ส่วนในราชสำนักจะถือมื้อเย็นเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันเวลาอาหารปกติ คือ กลางวัน 12.00-14.00 น. เย็น 20.00-22.00 น.เพราะฉะนั้นตามเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะปารีสร้านอาหารอาจเปิดประมาณ 11.30 น. ถึง บ่าย 2 โมง และเปิดอีกครั้งเวลา หนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน บางร้านอาจเปิดไปจนถึงตีสองหรือตีสามเพื่อรับนักท่องเที่ยวราตรีโดยเฉพาะ
    อาหารเย็นแบบเต็มยศ จะประกอบด้วยอาหารตั้งแต่ 6 จาน (คอร์ส) ขึ้นไป เสิร์ฟไวน์ตลอดเวลา ไม่นิยมเครื่องดื่มชนิดอื่นระหว่างรับประทานอาหารนอกจากน้ำหากไม่ดื่มไวน์ภัตตาคารที่หรูหราจะเสิร์ฟอาหารแบบเต็มยศ ซึ่งจะสั่งเพียง 2 หรือ 3 คอร์สก็ได้ การสั่งอาหารในภัตตาคารหรูจะเรียงลำดับดังนี้1. Aperitif (เหล้า หรือ เครื่องดื่มสำหรับจิบเรียกน้ำย่อย)2. Entree และ/หรือ ออร์เดิร์ฟ (อาหารจานแรก อาจมีซุปต่ออีกคอร์สก็ได้)3. Plat Pricipal (อาหารจากหลัก)4. Salade (สลัดเสิร์ฟเคียงกับอาหารจานหลัก)5. Fromage (เนยแข็งชนิดต่างๆ วางบนถาดไม้)6. Dessert (ของหวาน)7. Fruit (ผลไม้)8. Cafe หรือ The (กาแฟ หรือ ชา)9. Degestif (เหล้าหลังอาหาร)
    รูปแบบของอาหาร ได้มีการแบ่งรูปแบบอาหารออกเป็นลำดับชั้น คือ1. Haute Cuisine อาหารที่ปรุงอย่างหรูหราสำหรับคนร่ำรวยใช้เวลาในการเตรียมนาน และเมื่อเสิร์ฟก็ต้องตกแต่งอย่างสวยงาม2. Cuisine Bougeoise อาหารที่ทำกินกันเองในบ้าน แต่ใช้เครื่องปรุงที่มีคุณภาพ3. Nouvelle Cuisine อาหารแนวใหม่ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติแบบดูแลสุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลดน้ำหนัก4. Cuisine des Province อาหารพื้นบ้านชนบทใช้เนื้อสัตว์และผักนานาชนิด โดยไม่แปรรูปให้วิจิตรพิสดาร
    ร้านอาหาร ร้านอาหารในฝรั่งเศสแม้หน้าตาคล้ายๆ กัน แต่อาจเรียกไม่เหมือนกัน ด้วยลักษณะของอาหารที่ขายรวมทั้งเครื่องดื่มด้วย1. Restaurant คือ ภัตตาคาร มักจะขายอาหารเฉพาะอย่างเช่น อาหารไทย, อาหารเวียดนาม หรืออาหารทะเล รวมทั้งร้านที่ขายเฉพาะอาหารฝรั่งเศสด้วย จะเปิดขายอาหารกลางวันถึงประมาณบ่ายสามโมงแล้วปิด จะขายอาหารเย็นอีกครั้งราวหกโมงครึ่งไปจนถึง 4-5 ทุ่ม การสั่งอาหารจะค่อนข้างใช้เวลานาน2. Brasserie คือ ร้านอาหารที่เปิดขายตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยไม่มีเวลาหยุดพัก และมีอาหารเสิร์ฟทั้งวัน3. Cafe คือร้านกาแฟ เป็นแหล่งชุมชนของผู้คนในละแวกนั้น จะเสิร์ฟอาหารแบบง่ายๆ อาทิ แซนวิช หรือ ครัวซอง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ4. Salon de The เป็นภาคที่หรูหราของคาเฟ่ เสิร์ฟอาหารเบาๆ พวกสลัด หรือ แซนวิช และมีขนมอบ ขนมหวาน เครป และไอศกรีมให้รับประทาน ส่วนใหญ่จะเปิดสายๆถึงหัวค่ำ5. Boulandgerie หรือร้านขายขนมปัง สดใหม่น่ารับประทาน จะเปิดแต่เช้าและปิดตอนใกล้ค่ำ6. Patisserie ร้านขายขนมอบนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นเพสตรี เอแคลร์ หรือครัวซอง บางร้านมีโต๊ะวางไว้เผื่อลูกค้าจะนั่งในร้าน และมีชา กาแฟเสิร์ฟ ด้วย7. Confiserie หมายถึงร้านที่ขายของหวานจำพวกช็อคโกเลต ลูกกวาด ผลไม้เชื่อม ในบางร้านอาจมีเค้ก พาย ที่แต่งอย่างหน้ารัก สวยงาม และพอคำ
    อาหารจานเด็ด หากไปถึงฝรั่งเศสอย่าลืมลิ้มลองอาหารขึ้นชื่อเหล่านี้1. Fruits de mer คืออาหารทะเลสดๆ ประกอบด้วยกุ้ง หอย และปูหลากชนิดลวกพอสุก จัดวางบนน้ำแข็งเกล็ดในถาดใบโต รับประทานโดยการบีบมะนาว และจิ้มน้ำส้มสายชูใส่หัวหอมซอย ถ้าจะให้ดีต้องกลั้วคอด้วยไวน์ขาว และแนมให้หนักท้องด้วยข้าวไรย์ทาเนย อาหารจานนี้เป็นอาหารเมืองชายทะเลภาคตะวันตก2. Cog au vin หรือ ไก่อบซอสไวน์แดงใส่หอม และเห็ดดุม เป็นอาหารที่ภัตตาคารแทบทุกแห่งจะต้องบรรจุไว้ในเมนู3. Soupe a l oignon หรือซุบหัวหอม เป็นอาหารที่สำคัญอีกจานหนึ่ง หอมหัวใหญ่จะถูกหั่นเป็นเส้นบางๆ เคี่ยวจนเกือบเละในน้ำซุปรสเข้ม เมื่อจะเสิร์ฟ จึงลอยขนมปังที่อบร้อนโดยมีเนยแข็งวางอยู่ข้างบน4. Escargots a la Bourguignonne หอยทากเอสคาร์โกอบจนสุก พอออกจากเตาร้อนๆก็เอาเนยสดที่ผสมเครื่องเทศใส่ลงไปจนเต็มปากหอย รับประทานเรียกน้ำย่อย5. Pate de foie gras ตับบดปรุงรสด้วยเครื่องเทศ ทำจากตับห่านหรือตับเป็ด หากไม่บดก็อาจเป็นชิ้นๆ ปรุงด้วยเหล้าบรั่นดี
    ขนมปังขนมปังของฝรั่งเศสที่เรียกว่า บาแกตต์ (Baquette) มีเอกลักษณ์พิเศษกว่าใคร ด้วยการทำเป็นทรงยาวกว่า 2 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 นิ้ว เวลาทานมักบิออกด้วยมือ หรือฝานออกเป็นชิ้นๆ อีกชนิดที่นิยมคือ ครัวซอง
    ขนมหวานขนมหวานที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่1. เครป (Crepe) เป็นเสมือนอาหารว่างมากกว่า พบเห็นทั่วไป ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ เครปซูเซตต์ หรือเครปน้ำตาลใส่น้ำส้มและเหล้า2. มารองกลาสเซ่ (Marron Glace) หรือเกาลัดเชื่อมหวานสนิม ร้านที่ขายที่ขึ้นชื่อ คือร้าน Fauchon3. เอแคลร์ (Eclair) ขนมอบใส่ใส้ครีม
    ขนมว่างเป็นอาหารง่ายที่กินระหว่างมื้อ ที่ขึ้นชื่อก็คือ โคร้ก เมอซิเออร์ (Croque monsieur) ซึ่งเป็นแซนวิชวางแฮมและเนยแข็งไว้ข้างบนแล้วเข้าอบ ถ้าวางไข่ดาวด้วยเรียก โคร้ก มาดาม (Croque madam)
    เนยแข็งชนิดของเนยแข็งฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อ อาทิ 1. รอคฟอร์ต (Roquefort) เนยกลิ่นแรงรสจัดมีเส้นสีฟ้าๆอยู่ในเนื้อเนย 2. กามองแบร์ (Camembert) เนยสีขาวนวลเนื้อนิ่ม มีเปลือกสีขาวรอบนอก ซึ่งกินได้ แต่ไม่ค่อยกิน3. บรี (Brie) เนยสีฟ้า หรือ Blue

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ช็อคโกแลต





ขนมหวานรสละมุนลิ้นอย่างช็อกโกแลตนั้น เป็นที่โปรดปรานของคนทุกเพศทุกวัย มานานนับศตวรรษ เพราะนอกจากจะมีรสชาติหอมหวานกลมกล่อม ที่ชวนให้เผลอใจหลงใหล จนยากที่จะถอนตัวแล้ว ช็อกโกแลตยังเป็นสื่อสากลที่คนทั่วโลกนิยม มอบให้กันเพื่อแสดงถึงมิตรภาพ และความรัก โดยมีตำนานจารึกไว้ว่าในช่วงกลางศตวรรษที่ 11 กษัตริย์มองเตซูม่า ( Montezuma) ที่ 2 จักรพรรดิ์ของแคว้นแอสเท็กซ์ ประเทศเม็กซิโก นิยมดื่มช็อกโกแลตวันละ 50 ถ้วย เพื่อเยียวยาชีวิตรัก ทุกวันนี้ช็อกโกแลต จึงเป็นของขวัญที่ขาดไม่ได้ในวันวาเลนไทน์
ปัจจุบันนี้ ช็อกโกแลตเป็นของกำนัลยอดนิยมที่หนุ่มสาวทั้งในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทยของเรา ใช้เป็นสื่อแทนความรู้สึกดี ๆ ได้เช่นเดียวกันกับการมอบดอกกุหลาบสีแดงสด



ถิ่นกำเนิดของโกโก้


ช็อกโกแลตที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติไหน หรือยี่ห้ออะไร ล้วนเป็นผลผลิตซึ่งมีโกโก้เป็นวัตถุดิบสำคัญทั้งสิ้น
โกโก้ เป็นพืชยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในลุ่มน้ำอะเมซอน มานานกว่า 4000 ปีแล้ว โดยชาวมายาส์ของแคว้นยูคาฐาน และชาวแอสเท็กซ์ของเม็กซิโกทำการเพาะปลูกพืชพื้นเมืองชนิดนี้มานาน
อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าโกโก้นั้นเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เทพยดาประทานมาให้ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ในเวลา ต่อมาราวศตวรรษที่ 18 นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนที่ชื่อ ลินนีอุส ได้ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโกโก้ว่า ทีโอโบรมา คะคาโอ ( Theobroma cacao ) เพราะคำว่า ทีโอโบรมานั้นเป็นภาษากรีกซึ่งแปลว่า ภักษาหารของพระผู้เป็นเจ้า ในราชอาณาจักรแอสเท็กเมื่อราว 200 ปีก่อนคริสตกาล เมล็ดโกโก้เป็นสิ่งมีค่าและสามารถใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินตราได้ นอกจากนั้น ชาวแอสเท็กซ์ ยังมีความเชื่อว่า โกโก้มีสรรพคุณในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยแม้ว่า คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะเป็นชาวยุโรป คนแรกที่ค้นพบโกโก้โดยบังเอิญ เมื่อเขาเดินทางไปยังทวีปอเมริกาเป็นครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2045 แต่นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้กลับไม่ได้ใส่ใจ กับผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนลูกรักบี้เลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งอีก 2 ทศวรรษต่อมา เมื่อนายพลเออร์นานโด คอร์เทส นักสำรวจชาวสเปนสังเกตเห็นว่า จักรพรรดิ์แห่งแอสเท็กซ์ทรงโปรดปราน เครื่องดื่มพิเศษชนิดหนึ่งที่เรียกขานในภาษาฝรั่งเศสว่า โชโกลาต์ นั้นมีรสขมมาก แต่ก็สามารถทำให้ร่างกาย มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างน่าประหลาด
นายพลคอร์เทสเป็นผู้นำเมล็ดโกโก้ กลับไปถวายพระเจ้าชาร์ลสที่ 5 ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งสเปนในสมัยนั้น ก่อนที่โกโก้จะแพร่หลายไปในประเทศอื่น ๆ เช่น ทรินิแดด ไฮติ เกาะต่าง ๆ ทางแอฟริกาตะวันตกและหมู่เกาะเวสต์อินดีส รวมไปถึงประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและศรีลังกาในเวลาต่อมา

กว่าจะมาเป็นช็อกโกแลตแสนอร่อย


ชาวสเปนเป็นชนชาติแรก ที่ค้นพบรสชาติอันแสนวิเศษของช็อกโกแลต โดยพวกเขาพบว่า การหมักทำให้เมล็ดโกโก้มีกลิ่นและรสดีขึ้น หากนำไปต้มโดยเติมน้ำและน้ำตาลไป จะได้เครื่องดื่มชนิดใหม่ที่พวกเขาให้ชื่อว่า ช็อกโกแลต ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ขุนนางชั้นสูง ของประเทศสเปนเป็นอย่างมาก และมีการคิดค้นสูตรการปรุงใหม่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติมส่วนผสมที่เป็นเครื่องเทศ เช่น อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี รวมไปถึงการเพิ่มความหอมมัน จากเครื่องดื่มช็อกโกแลต

หลังจากนั้นอีกเกือบหนึ่งศตวรรษ ความหอมหวานของเครื่องดื่มช็อกโกแลต จึงเริ่มเข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป โดยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2143 ความนิยมของเครื่องดื่มช็อกโกแลตขยายไปถึงอิตาลี ฮอลแลนด์และฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีหลักฐานยืนยันว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ เป็นที่รู้จักของขุนนางอังกฤษในปี พ.ศ. 2207 ต้นศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีการเปิดร้าน ขายเครื่องดื่มช็อกโกแลตแข่งกับร้านขาย กาแฟในกรุงลอนดอน ต่อมาในปี พ.ศ. 2371 คอนราดฟอน เฮาเซ่น นักเคมีชาวสวีเดนค้นพบวิธีการสกัดไขมันที่เรียกว่า ไขมันโกโก้ ออกมาเป็นช็อกโกแลต
ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผงโกโก้ได้สำเร็จ โดยที่ เจ.เอส.ฟรายรวมถึงแคดเบอรี่ เป็นผู้นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตช็อกโกแลตแท่งในเวลาต่อมา ทำให้คนทั่วโลกได้ลิ้มรสช็อกโกแลตในรูปแบบที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาธุรกิจขนมหวานและช็อกโกแลตนมจนเป็นที่นิยมบริโภคมาจนถึงปัจจุบัน

ช็อกโกแลตหลากชนิดหลายรสชาติ

ช็อกโกแลตที่เรารับประทานกันทุกวันนี้ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ได้แก่

- Unsweetened Chocolate หรือ Bitter Chocolate ช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ มีรสขมนำ
- Sweet Chocolate ,Semi-Sweet Chocolate,Bitter-Swet Chocolate และ Extra-Bitter Sweet Chocolate ช็อกโกแลตที่น้ำตาลเป็นองค์ประกอบในปริมาณที่ต่างกัน
- Milk Chocolate หรือช็อกโกแลตนม ช็อกโกแลตที่มีนมเป็นองค์ประกอบ
- White Chocolate ช็อกโกแลตที่ประกอบด้วยไขมันโกโก้ นมเหลวและน้ำตาล แต่จะไม่มีน้ำช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมเลย ช็อกโกแลตชนิดนี้จึงมีสีขาวล้วน
- Chocolate Couverture ช็อกโกแลตที่มีไขมันโกโก้เป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับใช้เคลือบหรือชุบขนมให้มีลักษณะเป็นเงาดูสวยงาม - Chocolate Chips ช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ ที่ผ่านขั้นตอนการทำให้จับตัวและไม่ละลายง่ายเหมือนช็อกโกแลตชนิดอื่น โดยทั่วไปสูตรของส่วนผสมต่าง ๆ ในการผลิตช็อกโกแลตจะเป็นความลับของแต่ละบริษัทผู้ผลิต ซึ่งนอกจากจะคิดค้นให้มีแบบพิมพ์แต่ละชนิดเพื่อผลิตช็อกโกแลตให้มีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันแล้ว ยังคิดค้นการเพิ่มส่วนผสมพิเศษหรือการสอดไส้ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ช็อกโกแลตที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
บริโภคช็อกโกแลตอย่างไรจึงได้ประโยชน์



ความเชื่อในเรื่องของการรับประทานช็อกโกแลตนั้น เป็นประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์ ให้ความสนใจมาเนิ่นนานแล้ว ด้วยต่างก็ต้องการพิสูจน์ ให้ได้ว่าการบริโภคช็อกโกแลต ซึ่งมีรสชาติเป็นที่ติดอกติดใจคนทั่วโลกนั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคช็อกโกแลตว่า ขนมหวานชนิดนี้มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เยกว่า ฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid ) เช่นเดียวกับที่พบในพืชผักและใบชา เป็นส่วนประกอบสำคัญ ดังนั้นการรับประทานช็อกโกแลตในปริมาณที่เหมาะสมจึงมัส่วนช่วยป้องกัน การเกิดโรคหัวใจหรือแม้กระทั่งให้คุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดของจุลสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์จากช็อกโกแลตและโกโก้หากได้รับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น โดยการรับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์ หรือแป้งโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล 1/4 ช้อนโต๊ะ จะทำให้ความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเราเพิ่มขึ้นประมาณ 4 % และปริมาณของ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นพิษก็จะลดลงเช่นกัน

การที่คนสมัยก่อนนิยมให้คนป่วยดื่มโกโก้ร้อน หรือช็อกโกแลตร้อนเพื่อบำรุงร่างกายนั้น มีสาเหตุมาจากความจริงที่ว่า ในโกโก้หรือ ช็อกโกแลตร้อน 1 ถ้วยนั้นมีปริมาณของสารคาเฟอีนประมาณ 10 มิลลิกรัมและปริมาณสารคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟถึง 10 เท่านี้เองที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้
โกโก้หรือช็อกโกแลตร้อนยังมีสรรพคุณช่วยให้หายเครียดด้วย เนื่องจากช็อกโกแลตมีสารบางชนิดที่ไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อ เอ็นดอร์ฟิน ( Endorphin ) ออกมาช่วยทำให้รู้สึกมีอารมณ์ดี นอกจากนั้นชาวยุโรปส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว อีกทั้งยังสามารถช่วยลดไข้รักษาอาการอาหารไม่ย่อยและช่วยให้มีลมหายใจที่หอมสดชื่นอีกด้วย




ช็อคโกแลตบอกนิสัย




★ ช็อคโกแลตมิ้นต์ ★

เป็นคนที่มองไปข้างหน้าอยู่เสมอ ไม่ชอบเก็บเอาอดีตมาใส่ใจ ไม่มีกฏระเบียบอันใดที่จะหยุดคุณได้ยกเว้นคุณจะเป็นคนสร้างกฏนั้นเสียเอง เป็นคนชัดเจนและเปิดเผย ตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และพยายามมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ข้อเสีย บางครั้งก็มุ่งมั่นมากเกินไป ควรจะปล่อยวางบ้าง

★ ช็อคโกแลตนม ★

เป็นคนโรแมนติก และแสนจะอบอุ่นคนหนึ่งเชียวล่ะ ตัดสินใจรวดเร็ว คุยสนุกและยิ่งไปกว่านั้นคุณชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอในยามที่พวกเขาต้องการ ข้อเสีย ด้วยความที่คุณมักจะเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจของคนอื่นๆ อยู่เสมอ อาจจะทำให้คนคิดว่าคุณชอบทำตัวเด่นเกินไป และในบางเวลาคุณควรหันมาใส่ใจตัวเองให้มาก ค่อยช่วยเหลือคนอื่น

★ ช็อคโกแลตสอดไส้ ★.

เป็นสาว/หนุ่มสังคมตัวยง มีงานปาร์ตี้ที่ไหนคุณก็ไม่เคยพลาด คุณเป็นคนชอบให้มีคนอยู่รอบข้างเสมอ และที่สำคัญคุณเป็นคนใจบุญ ข้อเสีย คุณเบื่อง่าย และมักจะเห็นดีเห็นงามกับความคิดของคนอื่นแบบง่ายๆไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

★ ช็อคโกแลตเวเฟอร์ ★

เป็นคนรักสนุก มีอารมณ์ขัน ช่างพูดช่างคุย ทำให้คนรอบข้างคุณมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ คุณมักจะชอบเล่าเรื่องตลก หรือมีกลเม็ดเด็ดพรายคอยทำให้คนอื่นหัวเราะอยู่เสมอ และใครที่ได้เป็นเพื่อนจะเป็นคนที่โชคดีมากเพราะคุณคือเพื่อนแท้แห่งชีวิตทีเดียว

★ ช็อคโกแลตขม ★

เป็นคนไม่ชอบการรอคอยอะไรที่นานๆ และมักจะตกหลุมรักง่าย เป็นคนใจร้อน แต่ในขณะเดียวกันคุณก็เป็นคนช่างคิด ข้อเสีย เป็นคนที่ขาดความอดทน คุณเหมือนเป็นคนที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ตัวเองกลับไม่ได้อะไรเลย

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Modiste

Son artisanat débute dans la garçonnière parisienne de son protecteur Étienne Balsan. Les chapeaux qu'elle propose à ses clientes ne sont que des déclinaisons de ceux qu'elle se fabrique pour elle et qui, au château de Royallieu (près de Compiègne), ont séduit ses amies, des demi-mondaines qui fréquentent le lieu.
N'ayant pas de formation technique, ni d'outils de fabrication, elle achète ses formes de chapeaux dans les grands magasins et les garnit avant de les revendre. La nouveauté et l'élégance de son style font que, bientôt, elle doit faire appel à sa tante Adrienne qui a le même âge qu'elle et à sa sœur Antoinette pour la seconder.
En 1909, Arthur Capel, son amant britannique surnommé Boy, lui prête les fonds nécessaires à l'achat d'une patente et à l'ouverture de sa première boutique à
Deauville pour ensuite s'établir à Biarritz et Paris. Elle cherche à élargir la gamme de produits qu'elle propose à ses clientes. Très douée en marketing, elle cherche à créer une demande pour la ligne de vêtements haute couture qu'elle veut créer.
Elle utilise la belle et élégante Adrienne comme mannequin à
Deauville, qui est alors un lieu de villégiature à la mode. La pénurie de tissus due à la Première Guerre mondiale, ainsi que la pénurie relative de main d'œuvre domestique ont créé de nouveaux besoins pour les femmes. Chanel, femme libre et active, perçoit ces besoins. Elle achete à Rodier des pièces entières d'un jersey utilisé à l'époque uniquement pour les sous-vêtements masculins.
Avec ce tissu, elle va pendant cette guerre habiller les femmes de tenues fluides, confortables, aux teintes neutres, du beige, du noir. Son succès lui permet de rembourser Arthur Capel et de devenir une femme indépendante financièrement.
Passionnée du
noir et du blanc, elle raccourcit les jupes, démodant la femme ornée. Ensuite, elle s'installe au 21, puis au 31 de la rue Cambon. Très vite, elle a plusieurs centaines d'ouvrières, elle achete cinq immeubles de la rue, elle habille les riches Espagnoles dans sa succursale de Biarritz.
Vivant avec le
grand duc Dimitri, elle hébergea Stravinsky et les siens pendant deux ans à Garches, elle signa des chèques qui évitèrent à Serge de Diaghilev quelques précipices. Elle paya même ses funérailles à San Michele de Venise. Par Misia Sert, elle eut sa période grecque, habillant les Œdipe et les Antigone de Jean Cocteau.
Deux de ces créations les plus célèbres, le parfum
Chanel Nº 5 (marque déposée) lancé en 1921 reste un classique, ainsi que le tailleur Chanel, un ensemble féminin en tweed créé en 1954 en réaction au new look, font toujours partie de la garde-robe des femmes d'aujourd'hui. Ses vêtements au style épuré tailleurs, robe noire, ses bijoux baroques, ses perles font partie du patrimoine intemporel de la mode.
En
1939, sur un coup de tête, elle ferme sa maison. Les parfums Chanel suffisent largement à son train de vie. Installée à l'Hôtel Ritz, parmi ses paravents en laque de Coromandel, elle y vit durant la Seconde Guerre mondiale avec l'officier allemand des services de renseignements Hans Gunther von Dincklage. Elle essaie de négocier une paix séparée entre le Troisième Reich et la Grande Bretagne. Seule l'amitié de Winston Churchill, qu'elle avait connu pendant sa liaison avec le duc de Wesminster, lui évite de graves ennuis à la Libération. On lui reprocha d'avoir arrangé le licenciement des fondateurs de la maison Bourjois, les frères Wertheimer. Elle fut donc accusée d'antisémitisme après avoir employé le terme « youpin » dans la lettre qu'elle adressa à la Kommandantur allemande pour leur annoncer ce fait.